ผลกระทบของการเรียนรู้และการพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อความยั่งยืนส่งผ่านประสิทธิภาพในการจัดการทุนไปยังประสิทธิภาพในการจัดการการตลาดของวิสาหกิจชุมชนในภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน

Impact of Learning Orientation and Sustainable Product Development through Efficiency of Capital Management and Marketing Management of Community Enterprises in the Upper Northeastern Region

Abstract

การวิจัยเรื่อง ผลกระทบของการเรียนรู้และการพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อความยั่งยืนส่งผ่านประสิทธิภาพในการจัดการทุนไปยังประสิทธิภาพในการจัดการการตลาดของวิสาหกิจชุมชนในภาคตะออกเฉียงเหนือตอนบน มีวัตถุประสงค์ คือ 1. เพื่อศึกษาลักษณะทั่วไปของวิสาหกิจชุมชน 2. เพื่อศึกษาความสัมพันธ์และ ผลกระทบของการเรียนรู้และการพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อความยั่งยืน ต่อประสิทธิภาพในการจัดการทุน ที่มีปฏิสัมพันธ์ กับการฝึกอบรม ที่ส่งผลต่อ ประสิทธิภาพในการจัดการตลาด โดยใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล จำนวน 432 คน โดยการสุ่มตัวอย่างวิธี 1.วิธีเลือกแบบชั้นภูมิ 2.วิธีเลือกแบบหลายชั้น และทราบจำนวนประชากรที่แน่นอน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ ได้แก่ ร้อยละ (%) ค่าเฉลี่ย (average) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (SD) ความเที่ยงตรง (IOC) ความเชื่อมั่น สมการโครงสร้าง (SEM) เสนอผลด้วยการพรรณนาวิเคราะห์และรูปแบบ (Model) โปรแกรมสำเร็จรูป  ผลการศึกษา พบว่า เป็นเพศหญิง อายุ 46-55 ปี การศึกษา ประถมศึกษา อาชีพหลัก ทำนา-ทำไร่ รายได้เฉลี่ย/ปี 90,000-300,000 บาท มีความสัมพันธ์สอดคล้องกับข้อมูลเชิงประจักษ์ ที่เหมาะสม การเรียน รู้และการพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อความยั่งยืนต่อประสิทธิภาพในการจัดการทุน (X2) =161.033, P=.056)  มีการปฏิสัมพันธ์ กับการฝึกอบรม ส่งผลต่อ ประสิทธิภาพในการจัดการตลาด (X2) = 864.53, P=.000) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.05  The main objectives of this study aimed to 1) investigate general characteristics of community enterprises in the upper northeastern region 2) investigate relationship and impact learning orientation and sustainable product development through efficiency of human capital management and marketing management and 3) investigate relationship and impact of capital management effectiveness relating to training on efficiency of marketing management. As for the research tool, questionnaires were distributed to the selected sample of 432 respondents who were community enterprises in upper northeastern region by using stratified random sampling. Data were collected by using a questionnaire and analyzed by using percentage, mean, standard deviation and it was then tested for validity by using the Index of Item Objective Congruence (IOC). Descriptive statistics and analysis of SEM model were employed to analyze the data. The research results were found that the majority of community enterprises were female with age between 46-55 years old, and they graduated in primary level, and their careers were farmers with income 90,000-300,000 baht/year and SEM model (X2=161.03, P=.056) and (X2= 864.53, P=.000) appropriate at level .05